การปลูกสตรอว์เบอร์รีอย่างละเอียด: คู่มือสำหรับมือใหม่และเกษตรกร
สตรอว์เบอร์รี (Strawberry) หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่าสตรอว์เบอร์รี เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รีที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมสดชื่น และอุดมไปด้วยวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทย สตรอว์เบอร์รีปลูกได้ดีในพื้นที่อากาศเย็นอย่างภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย หรือดอยอ่างขาง แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถปลูกในกระถางหรือระบบไฮโดรโปนิกส์ได้ทั่วประเทศ การปลูกสตรอว์เบอร์รีไม่เพียงให้ผลผลิตสำหรับบริโภคสด แต่ยังแปรรูปเป็นแยม น้ำผลไม้ หรือขนมหวาน สร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร การปลูกที่ถูกวิธีจะช่วยให้ต้นแข็งแรง ผลดก และคุณภาพสูง โดยบทความนี้จะอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรและแหล่งอื่นๆ
การเลือกพันธุ์สตรอว์เบอร์รีที่เหมาะสม
การเลือกพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จในการปลูก สตรอว์เบอร์รีแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Junebearing (ออกผลครั้งเดียวในฤดูร้อน) Everbearing (ออกผลต่อเนื่อง) และ Dayneutral (ออกผลไม่ขึ้นกับแสง) ในประเทศไทย นิยมพันธุ์พระราชทานที่ปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพอากาศ เช่น
- **พันธุ์พระราชทาน 80**: ผลขนาดใหญ่ รสชาติดี กลิ่นหอม ทนทานต่อโรคและแมลง เหมาะสำหรับพื้นที่สูง ทนราแป้งและแอนแทรคโนส ผลหนัก 12-15 กรัม
- **พันธุ์พระราชทาน 70**: ให้ผลผลิตเร็ว รสหวาน เนื้อแข็ง กลิ่นหอม (นำเข้าจากญี่ปุ่น ชื่อ Toyonoka) ทนโรคเหี่ยว ผล 11.5-13 กรัม
- **พันธุ์พระราชทาน 72**: ผลใหญ่ เนื้อแน่น ทนการขนส่ง (นำเข้าจากญี่ปุ่น ชื่อ Tochiotome) กลิ่นหอม ผล 14 กรัม
- **พันธุ์พระราชทาน 50**: ชอบอากาศเย็นน้อย (15-28°C) ผลขนาดกลาง รสหวาน หอม เนื้อแข็ง ทนราแป้ง ผล 12-18 กรัม
- **พันธุ์พระราชทาน 88**: รสหวานมาก กลิ่นหอม (ปรับปรุงจากพันธุ์ 80 และ 60)
- **พันธุ์ 329**: เนื้อกรอบ รสหวานอมเปรี้ยว อายุเก็บรักษานาน (นำเข้าจากอิสราเอล)
- **พันธุ์สีขาว (White Jewel)**: รสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม (นำเข้าจากญี่ปุ่น ทดลองปลูกในไทย)
สำหรับมือใหม่ แนะนำพันธุ์พระราชทาน 80 เพราะทนทานและให้ผลดี หาซื้อต้นพันธุ์ได้จากสถานีเกษตรหลวงหรือตลาดออนไลน์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าต้นพันธุ์แข็งแรง ปราศจากโรค
การเตรียมดินและแปลงปลูก
สตรอว์เบอร์รีชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง pH 5.5-6.5 เพื่อป้องกันต้นแคระแกรนหรือผลบิดเบี้ยว หากดินเป็นกรดมาก ให้ใส่ปูนขาว 60-80 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วพลิกดินทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ ก่อนปลูก 1 เดือน ไถดะดิน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2-2.5 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากันลึก 2-3 นิ้ว สำหรับปลูกในแปลง ยกแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 75 เซนติเมตร สันกว้าง 50 เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำดี
หากปลูกในกระถาง ใช้ส่วนผสมดิน:แกลบดิบ 1:1 เพิ่มขุยมะพร้าว 1/4 และปูนขาวเล็กน้อย กระถางขนาด 8-12 นิ้วเหมาะสมเพราะช่วยให้แตกดอกง่าย คลุมดินด้วยฟางข้าว ใบตองตึง หรือพลาสติกสีเงิน-ดำ เพื่อรักษาความชื้น ยับยั้งวัชพืช และป้องกันผลสัมผัสดินซึ่งอาจทำให้เน่า
วิธีการปลูกสตรอว์เบอร์รี
ปลูกในช่วงฤดูหนาว (สิงหาคม-ตุลาคม) เพื่อให้ต้นสะสมความเย็นและออกดอกดี สามารถปลูกจากเมล็ดหรือไหล (หน่อ) การปลูกจากเมล็ด: เพาะในถาด 9-15 วันจนงอก แล้วย้ายลงแปลงเมื่อต้นกล้าแข็งแรง ใช้เวลา 3-5 เดือนถึงเก็บเกี่ยว แต่แนะนำขยายพันธุ์ด้วยไหลเพราะเร็วและง่ายกว่า ในฤดูร้อน ต้นแม่จะแทงไหล 1 กอให้ 20 สาย แต่ละสายให้ต้นอ่อน 5-10 ต้น รวม 100-200 ต้นต่อกอ นำไหลไปเพาะชำในกระถางเล็ก รอรากงอกดีแล้วย้ายลงแปลง
ระยะปลูก: ระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 30-50 เซนติเมตร แบบสลับฟันปลา ใช้ต้นไหล 8,000-10,000 ต้นต่อไร่ ระดับปลูกให้รากและโคนต้นพอดีผิวดิน หันขั้วไหลเข้าหาแปลง หลังปลูก รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อป้องกันน้ำโดนใบ ดอก และผล ซึ่งอาจทำให้เกิดโรค ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน อุณหภูมิ 20-25°C และสะสมความเย็น 300 ชั่วโมงเพื่อออกดอก หากปลูกในกระถาง ปลูกชิดขอบ ห้ามกลบโคนไหลด้วยดินเพราะจะเน่า พักในร่ม 10-15 วันก่อนนำออกแดด หลีกเลี่ยงปลูกหน้าฝนเพราะเสี่ยงโรค
การดูแลรักษาสตรอว์เบอร์รี
หลังปลูก ดูแลให้ต้นแข็งแรงเพื่อให้ผลดก **การรดน้ำ**: รดวันละครั้งหากไม่มีฝน หลีกเลี่ยงน้ำขังเพราะรากตื้นและเน่าง่าย ใช้ระบบหยดเพื่อรักษาความชื้นสม่ำเสมอ **การให้ปุ๋ย**: หลังปลูก 7 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 (50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร) 15 วันถัดมาใช้สูตรเดียวกัน 21 วันใช้ 15-15-15 (5-10 กรัมต่อต้น) 30 วันใช้ 12-24-12 (10-12 กรัมต่อต้น) เมื่อติดผลใช้ 13-13-21 (10 กรัมต่อต้น) และฉีดใบด้วย 10-20-30 ในฤดูร้อน ใช้ 16-16-16 เพื่อบำรุงไหล
**การตัดแต่ง**: เด็ดดอกชุดแรกเพื่อให้ลาต้นสมบูรณ์ ตัดใบเก่าและไหลช่วงติดผลเพื่อป้องกันผลเล็ก กำจัดวัชพืชทันทีเพราะเป็นแหล่งโรค **การป้องกันศัตรูพืช**: ตรวจทุก 7-10 วัน ใช้สารชีวภัณฑ์อย่างเชื้อไตรโคเดอร์มา BS (Bacillus subtilis) สลับสารเคมีสำหรับโรคเชื้อรา (จุดด่างดำ) ฉีดบิวเวอร์เรียหรือเมธาไรเซียมป้องกันเพลี้ยไฟ ไรแดง ใช้กับดักกาวเหลืองดักเพลี้ยอ่อนและผีเสื้อ (15-20 ชิ้นต่อไร่ในฤดูหนาว 60-80 ชิ้นในฤดูร้อน) สารสกัดสะเดาช่วยยับยั้งแมลง สำหรับโรคไวรัส (ใบหยิก ด่าง) กำจัดต้นติดเชื้อทันที
การเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว
สตรอว์เบอร์รีออกดอกหลังปลูก 60-90 วัน เก็บเกี่ยวเมื่อผลสุก 60-80% สีแดงสม่ำเสมอ มีกลีบเลี้ยงติด เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตรขึ้นไป เก็บตอนเช้าตรู่ด้วยเล็บมือเพื่อไม่ช้ำ ผลพรีเมียมต้องเนื้อแน่น ไม่เน่า ช้ำ น้ำหนักมากกว่า 35 กรัม คัดเกรดตามขนาด: พิเศษ (≥25 กรัม) เกรด 1 (15-25 กรัม) ลงไปถึงเกรด 4 (7-9 กรัม) บรรจุในถาดพลาสติกเจาะรู คลุมด้วย PVC เก็บในตู้เย็น 1-2°C ความชื้น 85-90% เพื่อยืดอายุ หลังเก็บ ตัดแต่งต้นเพื่อเตรียมฤดูกาลถัดไป ในพื้นที่ภาคเหนือให้ผลเร็วกว่าเนื่องจากอากาศเย็น
ปัญหาที่พบบ่อยและการแก้ไข
ปัญหาที่เจอบ่อย ได้แก่ **อุณหภูมิสูง**: ลดการออกดอก แก้โดยปลูกในที่ร่มรำไรหรือใช้ตาข่ายบังแดด **ดิน pH สูง**: ต้นแคระ ผลบิดเบี้ยว แก้โดยปรับ pH ด้วยปุ๋ยอินทรีย์ **น้ำมากเกิน**: ทำให้รากเน่าและโรคเชื้อรา แก้โดยปรับระบบระบายน้ำ **โรคแอนแทรคโนส (ผลเน่า)**: ฉีดอะซ๊อกซีสโตรบิน **โรคใบจุด**: เด็ดใบติดโรค ฉีดโปรคลอราช **โรครากเน่า**: ใช้ไตรโคเดอร์ม่า **แมลงเพลี้ยไฟ/ไรสองจุด**: ฉีดโพรพาร์ไกด์ **เพลี้ยอ่อน**: ฉีดฟิโปรนิล **หนอนด้วงขาว**: ใช้คลอร์ไฟริฟอส **หนอนกระทู้**: ฉีดเดลทรเมทริน **ทาก**: ใช้เหยื่อพิษ นอกจากนี้ ไหลงอกช่วงติดผลทำให้ผลเล็ก ให้ตัดทิ้ง วัชพืชเป็นแหล่งโรค ให้กำจัดสม่ำเสมอ
สรุป
การปลูกสตรอว์เบอร์รีต้องอาศัยความใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เลือกพันธุ์ เตรียมดิน ไปจนถึงดูแลและเก็บเกี่ยว หากทำถูกวิธี จะได้ผลผลิตคุณภาพสูง สร้างรายได้และความเพลิดเพลิน มือใหม่ควรเริ่มจากกระถางเล็กๆ แล้วขยายขนาด หากพบปัญหา ปรึกษาเกษตรกรท้องถิ่นหรือกรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อคำแนะนำเพิ่มเติม

