หากเราใช้เส้นทางถนนราษฎร์พัฒนา แยกจากถนนรามคำแหง ที่ชาวบ้านเรียกติดปาก “แยกมิสทีน” ลึกเข้าไปบรรจบเส้นทางเลียบถนนกาญจนภิเษก (วงแหวนตะวันออก) ในพื้นที่แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ ด้านซ้ายมีซอยเล็กๆ ราษฎร์พัฒนา 23 มีป้ายสีเขียวอ่อนพอสะดุดตา “ไลฟ์ลี่ เวจจี้ ฟาร์ม” จำหน่ายผักไฮโดรโปนิกส์ ปลีก-ส่ง บริการถึงบ้าน เห็นแล้วสนใจจึงแวะเข้าไปชมฟาร์ม พบว่าเป็นแปลงปลูกพืชผักไฮโดรโปนิกส์ หรือผักสลัดขนาดย่อมในพื้นที่ ราว 140 ตารางวา ของสาวใหญ่วัย 45 ปี “ณัฐนรี ธนาดลธัมธาดา” หรือ “ชุน” ที่หันมายึดอาชีพเกษตรแบบเรียบง่ายใกล้ๆ บ้านพักของตัวเอง
ภายในฟาร์มมีโต๊ะปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ 12 ชุด เป็นโต๊ะปลูกขนาดกว้าง 1.50 เมตร ยาว 12 เมตร จำนวน 8 ราง สามารถปลูกผักสลัดได้ 450 ต้น แบ่งเป็นโต๊ะเพาะต้นกล้าและอนุบาลอย่างละ 1 โต๊ะ ที่เหลือเป็นโต๊ะปลูกผักสลัดเพื่อจำหน่ายจำนวน 10 โต๊ะ ซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีผักสลัดขนาดไม่เท่ากันเนื่องจากเป็นการปลูกที่ต้องเว้นช่องแห่งเวลาการปลูกที่ไม่ให้ผักโตพร้อมกันเพื่อให้มีผักขายได้ทุกวันนั่นเอง
ก้าวแรกที่อย่างเข้าไปในฟาร์มปลูกไฮโดรโปนิกส์แห่งนี้จะแลเห็นผักสลัดประกอบด้วยกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค กรีนคอส บัตเตอร์เฮด เรดคอรัล และฟิลเลย์ ชูใบสดสวยงามอย่างน่ารับประทาน ทำให้ใจสะดุด ให้สมองนึกคิดถึงภาคการเกษตรที่สะท้อนให้เห็นว่าคนเราถ้าตั้งใจจะทำมาหากินยึดอาชีพเป็นเกษตรกรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ไม่จำเป็นจะต้องใช้พื้นที่แปลงใหญ่ มีเพียง 1-2 งาน หากบริหารจัดการที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคก็สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ถ้ารู้จักคำว่า “พอเพียง”
กว่าจะเป็นเกษตรกรในเมืองกรุงของณัฐนรี เธอย้อนอดีตว่าชีวิตการทำงานเริ่มต้นมาจากมนุษย์เงินเดือนในฐานะพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ดำเนินกิจการด้านออร์แกไนเซอร์ ในบริบทของดีไซเนอร์ นักออกแบบงานอีเวนท์ แต่การทำงานของเธอในช่วงนั้นเสมือนหนึ่งเป็นการหาประสบการณ์ชีวิตก่อนที่จะไต่เต้าสู่เป้าหมายที่ใฝ่ฝันคือ “ธุรกิจของตัวเอง” ที่ตั้งใจจะเป็นผู้บริหาร
ในที่สุดก็สานฝันได้สำเร็จ ในปี 2552 มีบริษัทออร์แกไนเซอร์เป็นของตัวเอง และเป็นงานตรงกับความรู้ที่เล่าเรียนมา โดยเอาความรู้จากที่จบด้านศิลปศาสตร์ ในระดับปริญญาตรีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ผสมผสานกับความรู้ด้านการบริหารที่จบคณะบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรังสิต แต่กระนั้นธุรกิจของเธอไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ พอลงมือทำจริงผ่านไป 1 ปี ดูเหมือนว่าโชคไม่เข้าข้าง บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย มีการประท้วงและปิดถนนสายธุรกิจหลักของประเทศที่ถนนราชประสงค์ในปี 2553 ทำให้ลูกค้าต่างประเทศยกเลิกโดยไม่มีกำหนด
“ปีแรกทำท่าไปได้สวย มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พอมีม็อบและเผาห้างเวิลด์เทรด ลูกค้ารายใหญ่จากต่างประเทศที่มูลค่าจ้างงานเป็นหลักล้านบาทบางรายยกเลิกไปจัดที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ลูกค้าคนไทยขอเลื่อนไม่มีกำหนด ทำให้สถานภาพของบริษัทเริ่มสั่นคลอน แต่เราก็ประคองได้ มาเจอน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 คราวนี้ต้องบอกกับตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นเครียดมาก จึงต้องปิดบริษัทไป” ณัฐนรี กล่าว
หลังจากที่ปิดบริษัทแล้ว ณัฐนรีต้องพักผ่อนเป็นแรมเดือนเพื่อหาช่องทางใหม่ จึงมองว่าตัวเองเป็นคนชอบรับประทานสลัดผัก ประกอบคนสมัยใหม่หันมาสนใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารการกินที่คนเริ่มลดพวกเนื้อสัตว์ที่มันๆ หันมาบริโภคผัก โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ จึงนึกว่าน่าจะปลูกพืชผักสลัด แต่ปัญหาติดตรงที่ว่าเป็นคนมือร้อนปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น แม้แต่ แคคตัส (ตะบองเพชร) ที่ขึ้นตามทะเลทรายปลุกแล้วยังตาย แต่แฟนเป็นคนมือเย็น ชอบด้านการเกษตร ให้กำลังใจมาตลอด จึงตัดสินใจว่าจะปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ จากนั้นจึงศึกษาเกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ พร้อมกับไปดูงานและอบรมตามสถานที่ต่างๆ และตระเวนหาทำเลที่เหมาะอีกหลายแห่ง
วันเวลาผ่านไปเป็นแรมปี ไปพบกับพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งในซอยราษฎร์พัฒนา 23 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ห่างจากบ้านพักในหมู่บ้านธารารมณ์ ถนนรามคำแหง 166 ที่ทะลุถนนราษฎร์พัฒนาไม่กี่ร้อยเมตร เมื่อศึกษาสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านของคนชนชั้นกลางขึ้นไป ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงตัดสินใจขอเช่าในราคาเดือนละ 6,000 บาท ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในนาม “ไลฟ์ลี่ เวจจี้ ฟาร์ม” กระนั้นเธอยอมรับว่าคนกลุ่มนี้บางครั้งอาจไม่มีเวลาพอที่จะเข้าที่ฟาร์ม จึงคิดวิธีการหาตลาดแบบใหม่คือบริการถึงที่ ถ้าลูกค้าอยู่ในละแวกรัศมีไม่เกิน 2 กม.และซื้อไม่ต่ำกว่า 2 กก.ในราคา กก.ละ 130 บาท แต่ถ้าซื้อ 5 กก.ขึ้นไปคิดราคาส่ง กก.ละ 100 บาท ฟาร์มจะส่งถึงหน้าบ้านในเวลาอันรวดเร็ว
“แรกๆ ลูกค้ายังไม่ค่อยรู้จัก จึงใช้วิธีติดป้ายหน้าปากซอย และตามหมู่บ้านในละแวกเดียวกัน พร้อมๆ กับการใช้โซเชียลมีเดีย โพสต์ตามเฟซบุ๊ก ww.facebook.com/LivelyVeggie คนเริ่มรู้จักมากขึ้นทุกวันนี้มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น สามารถสร้างรายได้เดือนละ 4-5 หมื่นบาทหักค่าใช้จ่าย ทำอยู่กับบ้าน ใช้ชีวิตอยู่พอเพียงสามารถเลี้ยงตัเองได้” เจ้าของฟาร์มกล่าว
“ไลฟ์ลี่ เวจจี้ ฟาร์ม” แม้จะเป็นเปลงปูกผักไฮโดรไปนิกส์ขนาดกะทัดรัด แต่ด้วยระบบบริหารและจัดการทั้งในรูปแบบการจัดช่วงจังหวะเวลาปลูกให้มีผลผลิตสม่ำเสมอ และอ่านทะลุถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย ก็สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำหรับผู้ที่มีพื้นที่อันจำกัดในสังคมเมืองก็สามารถทำการเกษตรและสร้างได้ให้ครอบครัวได้
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ใช้สำหรับเตรียมสารละลาย 1000 ลิตร สูตรที่ 1 ผักสลัด A กรัม แคลเซียมไนเตรท 656 เหล็กคีเ...
-
สูตรปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์เมล่อนเพื่อการค้า ปลูกในระบบวัสดุปลูก (substrate culture) วิธีการผสมปุ๋ยครั้งเดียวใช้ได้ตอลดทั้ง 4 ระยะการเจริญเต...
-
เปิดเทคนิค การปลูกมะละกอ ให้ดกแบบคุณภาพของสวนปรีชา 8 ไร่ เก็บครั้งละ 3-4 ตัน ฟันเงินกว่า 2.5 แสน ในช่วงเวลา 2 เดือน เรียกว่าสร้างคว...
-
ใช้สำหรับเตรียมสารละลาย 1000 ลิตร สูตรที่ 1 ผักไทยกินใบ A กรัม แคลเซียมไนเตรท 118 เหล็...
-
ฟาร์มไฮโดรโพนิคส์เป็นโดมขนาดใหญ่ มองเห็นแต่ไกลแห่งนี้ เป็นของฟาร์ม Granpa Farm Rikuzentakata ในจังหวัดอิวาเตะของประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนห...
รวบรวมองค์ความรู้ด้านเกษตร การเกษตรสมัยใหม่ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมและภูมิปัญญาในการพัฒนาสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างคุณภาพ และมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค
ขับเคลื่อนโดย Blogger.