บทความ: คู่มือการปลูกกัญชาอย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น
การปลูกกัญชาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความเข้าใจ
ความอดทน และความใส่ใจในรายละเอียด ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การเตรียมเมล็ดไปจนถึงการเก็บเกี่ยว
เพื่อให้คุณสามารถปลูกกัญชาที่มีคุณภาพได้สำเร็จ
ส่วนที่ 1: การเตรียมตัวเริ่มต้นและอุปกรณ์ที่จำเป็น
ก่อนที่เราจะลงมือปลูกจริง
การเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
การมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้การปลูกของคุณราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
1. การเลือกสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะสม
การเลือกสายพันธุ์คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
เพราะสายพันธุ์ที่แตกต่างกันมีลักษณะการเติบโต ผลกระทบ
และความต้องการในการดูแลที่แตกต่างกัน:
·
Sativa
(ซาติวา): มักจะสูงโปร่ง ให้ผลผลิตที่กระตุ้นและสร้างสรรค์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสมาธิ
·
Indica
(อินดิคา): มีลำต้นเตี้ยเป็นพุ่ม ให้ผลผลิตที่ผ่อนคลายและสงบ
เหมาะสำหรับการใช้ในช่วงเย็นหรือก่อนนอน
·
Ruderalis
(รูเดอราลิส) / Autoflowering: เป็นสายพันธุ์ที่ออกดอกเองโดยไม่ขึ้นกับรอบแสง
เหมาะสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการการดูแลที่ง่ายขึ้น
·
Hybrid
(ลูกผสม): เป็นการผสมผสานระหว่าง Sativa และ Indica เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ต้องการ
เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและผลลัพธ์ที่คุณต้องการ
2. อุปกรณ์สำคัญสำหรับการปลูก (ในร่ม)
หากคุณเลือกที่จะปลูกในร่ม
(Indoor), การควบคุมสภาพแวดล้อมเป็นกุญแจสำคัญ
อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถจำลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด:
·
เต็นท์ปลูก (Grow Tent):
ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น แสง และกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาพร้อมขนาดที่หลากหลายให้เลือกตามพื้นที่
·
หลอดไฟปลูก (Grow Lights):
เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่สำคัญที่สุดสำหรับพืชกัญชา มีหลายประเภท เช่น:
o LED: ประหยัดพลังงาน มีประสิทธิภาพสูง และให้ความร้อนต่ำ
เป็นที่นิยม
o MH/HPS: ให้แสงที่แรง เหมาะสำหรับการเติบโตและออกดอก
แต่ให้ความร้อนสูง
·
ระบบระบายอากาศ (Ventilation System): ประกอบด้วยพัดลมดูดอากาศ (Exhaust Fan) และแผ่นกรองคาร์บอน (Carbon Filter) เพื่อระบายอากาศร้อนออกไป
และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
·
พัดลมหมุนเวียนอากาศ (Oscillating Fan): ช่วยให้อากาศภายในเต็นท์หมุนเวียน ลดจุดความร้อน
และเสริมสร้างลำต้นของพืชให้แข็งแรง
·
เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น (Thermometer/Hygrometer): จำเป็นสำหรับการตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายในเต็นท์
เพื่อรักษาระดับที่เหมาะสม
·
เครื่องวัดค่า pH (pH Meter):
ใช้สำหรับวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำและสารอาหาร
เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้อย่างเหมาะสม
·
กระถางปลูก (Pots): ควรใช้กระถางผ้า
(Fabric Pots) หรือ Air-Pots ที่ช่วยให้รากได้รับอากาศที่ดี
ป้องกันรากเน่า และส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก
ส่วนที่ 2: การเพาะเมล็ดและการดูแลต้นอ่อน
เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการเพาะเมล็ดเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง
นี่คือขั้นตอนที่คุณต้องทำ:
1. การเตรียมเมล็ดกัญชา
เมล็ดกัญชาที่ดีควรมีสีเข้ม
ผิวเป็นมัน และแข็งแรง หากเมล็ดอ่อนแอ อาจจะลอยน้ำได้
2. วิธีการเพาะเมล็ด
มีหลายวิธีในการเพาะเมล็ดกัญชา
แต่วิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพคือ:
·
วิธีใช้กระดาษทิชชูชุบน้ำ (Paper Towel Method):
1.
นำเมล็ดวางบนกระดาษทิชชูที่ชุบน้ำหมาดๆ (ไม่เปียกโชก)
2.
ประกบด้วยกระดาษทิชชูชุบน้ำอีกแผ่น
3.
นำไปวางไว้ในกล่องพลาสติกหรือถุงซิปล็อก เพื่อรักษาความชื้น
4.
เก็บไว้ในที่มืดและอบอุ่น (ประมาณ 20-25°C)
5.
ตรวจสอบทุกวัน เมื่อเห็นรากงอกออกมาประมาณ 0.5 - 1 เซนติเมตร
ก็พร้อมย้ายลงดิน
·
วิธีแช่น้ำ (Water Soaking Method):
1.
นำเมล็ดไปแช่ในน้ำอุ่น (อุณหภูมิห้อง) ประมาณ 12-24 ชั่วโมง
2.
เมล็ดที่พร้อมจะงอกจะจมลงไปก้นแก้ว
3.
เมื่อเห็นรากเล็กๆ เริ่มงอก ก็สามารถย้ายลงดินได้
·
วิธีใช้ถ้วยปลูก (Starter Plugs/Rockwool):
1.
นำเมล็ดใส่ในถ้วยปลูกหรือ Rockwool ที่ชุ่มน้ำ
2.
ดูแลให้มีความชื้นสม่ำเสมอ จนรากงอกและต้นกล้าโผล่พ้นดิน
3. การย้ายต้นอ่อนลงกระถาง
เมื่อเมล็ดงอกและรากเริ่มยาวพอสมควร
คุณสามารถย้ายมันลงในกระถางเล็กๆ ที่มีวัสดุปลูกที่เหมาะสม (เช่น
ดินปลูกกัญชาที่มีสารอาหารไม่มากเกินไป)
·
ทำหลุมเล็กๆ ในดิน
·
ค่อยๆ วางเมล็ดที่รากงอกแล้วลงไป โดยให้รากชี้ลง
·
กลบดินเบาๆ อย่ากดแน่นเกินไป
·
รดน้ำเบาๆ เพื่อให้ดินชุ่มชื้น
4. การดูแลต้นอ่อน (Seedling Stage)
ช่วงต้นอ่อนเป็นช่วงที่เปราะบางที่สุด
ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด:
·
แสง:
ให้แสงที่อ่อนลงกว่าช่วงเติบโตเต็มที่ (ประมาณ 18-24 ชั่วโมงแสงต่อวัน) โดยเว้นระยะห่างจากหลอดไฟ
·
น้ำ:
รดน้ำแต่พอดี ไม่ควรรดน้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้รากเน่าได้ ดินควรชื้นแต่ไม่แฉะ
·
อุณหภูมิและความชื้น: รักษาระดับอุณหภูมิที่ 20-26°C และความชื้นสูง (60-70%)
·
สารอาหาร: ต้นอ่อนยังไม่ต้องการสารอาหารมากนัก
หากใช้ดินที่มีสารอาหารอยู่แล้ว อาจยังไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยในช่วงนี้
### **ส่วนที่ 3: ระยะการเติบโตทางลำต้น
(Vegetative Stage)**
เมื่อต้นอ่อนมีอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ และเริ่มมีใบจริงที่มีแฉกครบ 5-7 แฉก
ก็จะเข้าสู่ระยะการเติบโตทางลำต้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นช่วงที่พืชใช้ในการสะสมพลังงานและสร้างมวลชีวภาพ
#### **1. การจัดการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม**
* **แสงสว่าง (Light Cycle):** ต้องให้แสงอย่างน้อย 18 ชั่วโมง และความมืด 6 ชั่วโมง (18/6) หรือ 24
ชั่วโมงแสงเต็ม (24/0) เพื่อกระตุ้นให้พืชเติบโตอย่างต่อเนื่องและป้องกันการออกดอกก่อนกำหนด
* **อุณหภูมิ (Temperature):** รักษาอุณหภูมิในช่วงกลางวันไว้ที่ $22 - 28^\circ\text{C}$
* **ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative
Humidity - RH):** ลดความชื้นลงเล็กน้อยจากช่วงต้นอ่อน
โดยรักษาระดับไว้ที่ประมาณ **40-60%** การระบายอากาศที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันเชื้อรา
#### **2. การจัดการธาตุอาหาร (Nutrient
Management)**
ในช่วงนี้ พืชต้องการธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด (N-P-K) ในปริมาณที่เน้น **ไนโตรเจน (N)**
เป็นหลัก เพื่อส่งเสริมการสร้างใบและลำต้น:
* **ไนโตรเจน (N):** สำคัญที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของใบ
* **ฟอสฟอรัส (P) และ
โพแทสเซียม (K):** ยังคงจำเป็น
แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าไนโตรเจน
* **การวัดค่า pH:** ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสารละลายธาตุอาหารมีค่า
pH ที่เหมาะสมเพื่อให้พืชดูดซึมอาหารได้:
* **ดิน (Soil):** $6.0 - 7.0$
* **ไฮโดรโปนิกส์/โคโค่ (Hydro/Coco):** $5.5 - 6.5$
* **การรดน้ำ:**
รดน้ำเมื่อหน้าดินแห้งสนิทเท่านั้น
และตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำส่วนเกินสามารถระบายออกได้หมด (Drainage)
#### **3. เทคนิคการฝึกพืช (Plant
Training Techniques)**
การฝึกพืชช่วยเพิ่มผลผลิตโดยการปรับโครงสร้างของพืชให้รับแสงได้ทั่วถึงและมีกิ่งก้านสำหรับช่อดอก
(Bud
Sites) มากขึ้น:
* **การตัดยอด (Topping/Fimming):**
เป็นการตัดยอดหลักออกเพื่อบังคับให้พืชแตกกิ่งด้านข้าง (Lateral
Branches) ทำให้เกิดเป็นพุ่มเตี้ยและมีช่อดอกหลักหลายช่อ
* **Low Stress Training (LST):** เป็นการดัดกิ่งและผูกกิ่งลงในแนวนอนเบาๆ
โดยไม่ทำให้พืชบาดเจ็บ วิธีนี้ช่วยให้ยอดที่อยู่ต่ำได้รับแสงมากขึ้น
* **Screen of Green (SCROG):** เป็นการใช้ตาข่ายหรือลวดตาข่ายเพื่อจัดระเบียบและกระจายกิ่งก้านให้เป็นระนาบเดียวกัน
เพื่อให้ทุกยอดได้รับแสงอย่างเต็มที่
#### **4. การย้ายกระถาง (Transplanting)**
เมื่อรากของพืชเริ่มเต็มกระถาง
(สังเกตได้ว่ารากเริ่มวนรอบก้นกระถาง)
ควรย้ายพืชไปยังกระถางที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รากมีพื้นที่ในการเติบโตต่อไป
ควรย้ายกระถางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รากเสียหาย
### **ส่วนที่ 4: ระยะการออกดอก
(Flowering Stage)**
เมื่อพืชมีขนาดที่เหมาะสมและโครงสร้างพร้อมแล้ว
ก็ถึงเวลาที่จะเข้าสู่ระยะการออกดอก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องเปลี่ยนรอบแสงและเน้นธาตุอาหารที่แตกต่างไปจากเดิม
#### **1. การกระตุ้นการออกดอก (Inducing
Flowering)**
สำหรับสายพันธุ์ที่ไวต่อแสง (Photoperiod
Strains: Sativa, Indica และ Hybrid ส่วนใหญ่):
* **การเปลี่ยนรอบแสง:** เปลี่ยนรอบแสงจาก 18/6 เป็น **12 ชั่วโมงแสง และ 12
ชั่วโมงมืดสนิท (12/12)** ความมืดสนิทมีความสำคัญอย่างยิ่ง
หากมีแสงสว่างรบกวนในช่วง 12 ชั่วโมงมืด
พืชอาจเครียดและกลายเป็นกระเทย (Hermaphrodite) หรือหยุดการออกดอกได้
#### **2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและเพศของพืช**
ในช่วง 1-2
สัปดาห์แรกหลังการเปลี่ยนรอบแสง พืชจะเริ่มแสดงเพศ:
* **พืชเพศเมีย (Female):** จะมีขนสีขาวเล็กๆ (Pistils) งอกออกมาจากข้อต่อระหว่างกิ่งและลำต้น
ซึ่งเป็นส่วนที่จะพัฒนาไปเป็นช่อดอก
* **พืชเพศผู้ (Male):** จะมีถุงเล็กๆ (Pollen Sacs) งอกออกมาลักษณะคล้ายกล้วยเล็กๆ
ซึ่งจะปล่อยละอองเรณู หากคุณต้องการผลผลิตดอกกัญชา (Buds) ที่มีคุณภาพ
**คุณต้องกำจัดพืชเพศผู้ออกทันที** เพื่อป้องกันการผสมเกสรกับพืชเพศเมีย
#### **3. การจัดการสภาพแวดล้อมระหว่างการออกดอก**
* **อุณหภูมิ:** ลดอุณหภูมิลงเล็กน้อยในช่วงมืดเพื่อช่วยในการสร้างสารแคนนาบินอยด์
(Cannabinoids) ที่มีคุณภาพ (กลางวัน $20-26^\circ\text{C}$,
กลางคืน $18-22^\circ\text{C}$)
* **ความชื้นสัมพัทธ์ (RH):** ลดความชื้นลงเหลือประมาณ **35-45%** เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและโรคราน้ำค้าง
(Mold and Bud Rot) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดในช่วงนี้
#### **4. การจัดการธาตุอาหารในระยะออกดอก**
ในช่วงนี้
พืชจะเปลี่ยนความต้องการธาตุอาหารหลักไปเน้น **ฟอสฟอรัส (P)**
และ **โพแทสเซียม (K)** เพื่อใช้ในการสร้างดอก:
* **ไนโตรเจน (N):** ลดปริมาณลง
* **ฟอสฟอรัส (P):** เพิ่มปริมาณอย่างมาก
เพื่อกระตุ้นการสร้างดอก
* **โพแทสเซียม (K):** เพิ่มปริมาณ เพื่อช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาลและความแข็งแรงของพืช
* **สารอาหารรอง:** ควรให้สารอาหารรอง เช่น
แคลเซียม (Ca) และแมกนีเซียม (Mg) อย่างสม่ำเสมอ
#### **5. การตัดแต่งใบและการจัดการพื้นที่
(Defoliation & Lollipopping)**
ในช่วงการออกดอก
การตัดแต่งใบจะช่วยเพิ่มแสงสว่างและการไหลเวียนของอากาศให้เข้าถึงช่อดอก:
* **Lollipopping:** เป็นการตัดกิ่งและใบที่อยู่ด้านล่างของพืชออก
เพื่อให้พลังงานทั้งหมดถูกส่งไปสร้างช่อดอกที่มีคุณภาพที่ยอดด้านบนเท่านั้น
* **Defoliation:** การตัดใบพัด (Fan
Leaves) ที่บดบังแสงสว่างไม่ให้เข้าถึงช่อดอกด้านล่าง
แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ควรตัดออกมากเกินไปในครั้งเดียว
#### **5. การตัดแต่งใบและการจัดการพื้นที่
(Defoliation & Lollipopping)**
ในช่วงการออกดอก
การตัดแต่งใบจะช่วยเพิ่มแสงสว่างและการไหลเวียนของอากาศให้เข้าถึงช่อดอก:
* **Lollipopping:** เป็นการตัดกิ่งและใบที่อยู่ด้านล่างของพืชออก
เพื่อให้พลังงานทั้งหมดถูกส่งไปสร้างช่อดอกที่มีคุณภาพที่ยอดด้านบนเท่านั้น
* **Defoliation:** การตัดใบพัด (Fan
Leaves) ที่บดบังแสงสว่างไม่ให้เข้าถึงช่อดอกด้านล่าง
แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ควรตัดออกมากเกินไปในครั้งเดียว
ส่วนที่
6: การจัดการปัญหาและศัตรูพืชที่พบบ่อย
การปลูกกัญชาไม่ใช่เรื่องง่าย
มักจะมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นได้เสมอ
โดยเฉพาะในช่วงที่พืชกำลังเติบโตหรือกำลังออกดอก
การเรียนรู้วิธีการวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญ
1. ปัญหาเกี่ยวกับธาตุอาหาร (Nutrient Deficiencies and Burn)
·
อาการขาดไนโตรเจน (Nitrogen
Deficiency):
ใบแก่ด้านล่างจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วงหล่น การแก้ไข:
เพิ่มปริมาณปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง
·
อาการขาดฟอสฟอรัส (Phosphorus
Deficiency):
ใบจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือแดงเข้มที่ก้านใบและขอบใบ การแก้ไข:
ใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง (โดยเฉพาะช่วงออกดอก)
·
อาการปุ๋ยเกิน (Nutrient Burn): ปลายใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลและม้วนงอขึ้น
(ลักษณะคล้ายกรงเล็บของนก) การแก้ไข: หยุดให้ปุ๋ย และล้างสารอาหารในดินด้วยน้ำสะอาดที่มีค่า
pH ที่เหมาะสม
2. ปัญหาเกี่ยวกับค่า pH และการดูดซึมธาตุอาหาร
·
การล็อกธาตุอาหาร (Nutrient Lockout): หากค่า
pH ของน้ำหรือดินไม่ถูกต้อง แม้จะมีธาตุอาหารอยู่
พืชก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ ทำให้เกิดอาการขาดสารอาหารปลอม การแก้ไข: ปรับค่า
pH ของน้ำที่ใช้รดให้เหมาะสมกับวัสดุปลูกอยู่เสมอ (ดิน $6.0-7.0$, ไฮโดรโปนิกส์ $5.5-6.5$)
3. โรคและเชื้อรา
·
ราน้ำค้าง/ราแป้ง (Powdery Mildew -
PM):
ลักษณะเป็นคราบสีขาวคล้ายแป้งบนผิวใบ อันตราย: หากปล่อยทิ้งไว้จะแพร่กระจายและฆ่าพืชได้
การแก้ไข: ใช้สารละลายเบกกิ้งโซดาหรือน้ำมันสะเดา (Neem Oil) ฉีดพ่น และเพิ่มการระบายอากาศให้ดีขึ้น
·
ราดำ (Bud Rot): เป็นเชื้อราที่เติบโตภายในช่อดอก
โดยเฉพาะช่วงที่มีความชื้นสูง ดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือน้ำตาลและนุ่ม อันตราย:
ทำให้ผลผลิตเสียหายทั้งหมด การแก้ไข: กำจัดช่อดอกที่ติดเชื้อทันที และลดความชื้นในห้องปลูกให้ต่ำกว่า
50%
4. ศัตรูพืชที่พบบ่อย (Common Pests)
·
ไรเดอร์ (Spider Mites): แมงมุมตัวเล็กที่ดูดน้ำเลี้ยงจากใบ
ทำให้เกิดจุดสีเหลืองเล็กๆ และสร้างใยแมงมุมปกคลุมใบ การแก้ไข: ใช้สารกำจัดแมลงอินทรีย์
เช่น น้ำมันสะเดา (Neem Oil) หรือใช้ไรนักล่า (Predatory
Mites)
·
เพลี้ยไฟและเพลี้ยอ่อน (Thrips and Aphids): มักเกาะอยู่ใต้ใบและดูดกินน้ำเลี้ยง
การแก้ไข: ฉีดพ่นด้วยน้ำสบู่กำจัดแมลง หรือใช้สารกำจัดแมลงอินทรีย์
5. การจัดการกับความร้อนและความเครียด (Heat Stress)
·
อาการ: ใบจะม้วนงอขึ้นขอบ
(ลักษณะคล้ายเรือ) และอาจมีขอบใบสีเหลือง การแก้ไข: เพิ่มการระบายอากาศและติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อลดอุณหภูมิในห้องปลูกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
($22-28^\circ\text{C}$)
### **ส่วนที่ 7: บทสรุปและเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ**
การปลูกกัญชาเป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้การเรียนรู้และประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีอุปสรรคบ้าง
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่อดอกที่มีคุณภาพที่คุณปลูกด้วยตนเองนั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง
#### **เคล็ดลับ 5
ข้อสู่การปลูกที่ประสบความสำเร็จ**
1. **ความสะอาดคือสิ่งสำคัญอันดับ 1:** รักษาพื้นที่ปลูกให้สะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันศัตรูพืชและโรคเชื้อรา
การทำความสะอาดอุปกรณ์และฆ่าเชื้อระหว่างรอบการปลูกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
2. **เริ่มต้นอย่างช้าๆ และเรียบง่าย:** สำหรับมือใหม่
อย่าเพิ่งรีบใช้เทคนิคการฝึกพืชที่ซับซ้อน หรือปุ๋ยหลากหลายชนิด
เริ่มต้นด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมพื้นฐานให้สมบูรณ์ก่อน
3. **ลงทุนกับแสงสว่าง:**
แสงสว่างที่มีคุณภาพคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลผลิตและความหนาแน่นของช่อดอกมากที่สุด
การลงทุนในหลอดไฟที่ดีจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
4. **บันทึกข้อมูล (Keep a Log):** จดบันทึกทุกรายละเอียด
เช่น วันที่เริ่มเพาะเมล็ด, วันที่เปลี่ยนรอบแสง, ปริมาณปุ๋ยที่ให้, และค่า pH ต่างๆ
ข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างยิ่งในการปรับปรุงการปลูกในรอบต่อไป
5. **ให้ความสำคัญกับการบ่ม (Curing):** อย่ามองข้ามขั้นตอนการบ่ม
ช่อดอกที่ปลูกมาอย่างดีหากบ่มไม่ถูกวิธีจะให้ผลผลิตที่มีรสชาติหยาบและไม่นุ่มนวล
การบ่มที่ถูกต้องจะทำให้ผลผลิตของคุณอยู่ในระดับพรีเมียม
